ประวัติความเป็นมาปราสาทศีขรภูมิ



ประวัติความเป็นมาปราสาทศีขรภูมิ


สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2(พ.ศ. 1656-1688) มีการผสมผสานศิลปะแบบบาปวนและแบบนครวัดต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลายได้มีการบูรณะปราสาทแห่งนี้ขึ้นดังปรากฏจารึกภาษาไทย-บาลี ที่ซุ้มประตูปรางค์บริวารแถวหน้าด้านทิศใต้ กล่าวถึงพระเถระผู้ใหญ่และท้าวพระยาได้ร่วมกันบูรณะปราสาทแห่งนี้และประกอบพิธีกรรมในศาสนาพุทธปราสาทศีขรภูมิมีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า ปราสาทบ้านระแงง ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบกลางเมืองโบราณบ้านปราสาท ปราสาทนี้มีลักษณะพิเศษคือ ประกอบด้วยปรางค์ห้าองค์ตั้งอยู่บนฐานสูงมีภาพจำหลักนางอัปสรที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับนางอัปสรที่ปราสาทนครวัดในเขมรนอกจากนี้ยังมีทับหลังจำหลักเป็นลายศิวนาฏ ราชที่งดงามประณีตมาก














ปรางค์ประธาน

“ปรางค์ประธาน ก่อด้วยอิฐขัดมัน อยู่บนฐานเดียวกัน ๕ องค์ ฐานก่อด้วยแลง มีบันไดอยู่ทางทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก ปรางค์ประธานองค์ใหญ่อยู่กลาง มีปรางค์บริวารอยู่ ๔ มุม ปรางค์ประธานยอดหักเหลือเพียงบัวเชิงบาตร ๓ ชั้น สูง ๑๒ เมตร ฐานกว้าง ๑๐.๖๐ เมตร มีประตูทางทิศตะวันออกทำด้วยหินทรายสีเทา ท้องไม้ของประตูทางด้านหน้า จำหลักลายและรูปอัปสรถือดอกบัว ด้านข้างจำหลักลายและรูปทวารบาลยืนกุมกระบองกับอัปสร ศิลาทับหลังประตูกลางจำหลักเป็นรูปเทพสิบกรอยู่อยู่บนแท่นมีหงส์แบก ๓ ตัว อยู่บนเศียรเกียรติมุข มีมือทั้งสองจับเท้าสิงห์ข้างละ ๑ ตัว รูปสิงห์อยู่ในท่ายืนด้วยสองขาหลัง และอุ้งเท้าของสองหน้ากุมดอกบัวบานออก เกสรเป็นลำพวงมาลัยโค้ง ภายใต้วงโค้งของพวงมาลัย จำหลักเป็นรูปพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี และมีรูปโยคีสกัดอยู่ทั้งหัวแถวท้ายแถว อยู่เหนือปทุมอาศน์”



       ที่มา : http://www.touronthai.com/article/3009

ทับหลัง

ทับหลังตามที่บรรยายไว้ จะเห็นเทพเจ้าตามหลักศาสนาฮินดูอยู่หลายองค์  ซึ่งปราสาทศีขรภูมิแห่งนี้เดิมเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูที่บูชาพระศิวะเป็นใหญ่ เทพสิบกรนั่นก็คือพระศิวะกำลังร่ายรำ หรือ เรียกกันว่า “ศิวะนาฏราช” โดยมีเทพอีก ๔ องค์ร่วมบรรเลงด้วย กล่าวคือ ไล่เรียงจากทางด้านขวามือของเราในขณะที่แหงนหน้ามอง ภายใต้วงโค้งของมาลัยนั้นพระคเณศถือดอกบัวและชูงวง คล้ายร่ายรำ (เพราะช้างสุรินทร์เวลาเต้นรำก็มักจะชูงวงตามไปด้วย) ถัดมาคือพระพรหม ในที่นี้จะเห็นเพียง ๓ หน้า (เพราะด้านหลังคงสลักไม่ได้) แต่มี ๔ กร กำลังตีฉิ่งและถือดอกบัวถัดมาทางด้านซ้ายจะเป็นพระนารายณ์ ๔ กร สองมือบนถืออาวุธประจำตัวคือจักรและสังข์ (รายละเอียดสูญหายบางส่วน) ส่วนสองมือล่างดูเหมือนอยู่ในท่ารำ ส่วนองค์สุดท้ายก็คือนางปารพตี บ้างก็เรียก พระอุมา หรือ บรรพตี  ซึ่งเป็นมเหสีของพระศิวะ มือหนึ่งถือคฑาส่วนอีกมือหนึ่งนั้นรายละเอียดก็สูญหายเช่นกัน ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้นมีเหล่าเทวดาฤษีหงส์ และสัตว์อีกหลายชนิดเป็นที่ยอมรับจากนักโบราณคดีว่า ศิลาทับหลังของปราสาทศีขรภูมิแห่งนี้ สมบูรณ์และสวยงามที่สุดในประเทศไทย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่าทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ปราสาทพนมรุ้งนั้นสวยงามที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ แม้แต่คนศีขรภูมิเองก็ยังไม่ค่อยทราบกัน  เพราะหากเอ่ยถึงทับหลังแล้ว ผู้คนมักจะนึกถึงทับหลังของปราสาทพนมรุ้ง เพราะมีชื่อเสียงมาจากการเรียกร้องกลับคืนมาจากสหรัฐอเมริกานั่นเอง นอกจากทับหลังศิวะนาฏราชที่สวยงามแล้ว ทับหลังของปราสาทศีขรภูมิที่เคยสูญหายไปและตามกลับคืนมาได้อีก ๓ แผ่น ปัจจุบันได้เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์๒แผ่นและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมายอีก๑แผ่นโดยแผ่นที่เก็บไว้ในจังหวัดสุรินทร์ แผ่นหนึ่งจำหลักเป็นรูปพระกฤษณะจับช้างและคชสีห์ ส่วนอีกแผ่นหนึ่งเป็นพระกฤษณะจับคชสีห์ทั้ง ๒ ตัว (บ้างก็ว่า “ฆ่า” ไม่ใช่จับ) ทั้ง ๒ แผ่นนี้อยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ส่วนที่พิมายเป็นพระกฤษณะจับช้างและคชสีห์ ปราสาทศีขรภูมิมีปรางค์ทั้งหมด ๕ องค์ แต่พบทับหลังถึง ๔ ชิ้น อีกชึ้นหนึ่งน่าจะสูญหายไปพร้อมๆ กับเครื่องประดับองค์ปราสาทอีกจำนวนมาก โดยฝีมือมนุษย์นี่แหละ ซึ่งเรื่องนี้ อาจารย์ประสงค์ได้บันทึกไว้ว่า “ปู่ ย่า ตา ยาย และคนเฒ่า คนแก่ เล่าให้ฟังว่า ในระหว่างสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือไปจังหวัดอุบลราชธานีนั้น มีฝรั่งมาดูและเอาเชือกหนังผูก ใช้ช้างลากดึงยอดบัวตูมลงมา เพื่อค้นหาเพชรนิลจินดาและสมบัติอันมีค่สำหรับหน้าปราสาทองค์กลางใหญ่นั้น มีการขโมยขุดค้นพระพุทธรูปอันล้ำค่าและสลักหินที่ตกเรียงรายอยู่ในลานปราสาทได้ถูกโจรกรรมไปเกือบหมด ต่อมาภายหลังกรมศิลปากรได้ทราบเรื่อง จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่เก็บลายสลักหินที่เหลือไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย และสืบทราบว่าผู้ที่มาโจรกรรมลายสลักหินนั้นคือ โจรในเครื่องแบบ”
เมื่อตอนต้นปี ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา ชมรมคนรักปราสาทศีขรภูมิ ได้เรียกร้องให้นำทับหลังทั้ง ๓ ชิ้นกลับมาไว้ที่เดิม เป็นข่าวพาดหัวในหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน แต่ได้รับคำตอบจากกรมศิลปากรว่าให้เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์นั้นเหมาะสมดีแล้วเรื่องนี้ก็คงเป็นประเด็นให้อภิปรายถกเถียงกันต่อไปไม่เพียงแต่ศิลาทับหลังเท่านั้นที่เป็นจุดเด่นของปราสาทศีขรภูมิ  ซุ้มประตูองค์กลางที่ประดิษฐานทับหลังนั้น เสาทั้งสองยังสลักรูปนางอัปสรหรือนางอัปสราไว้ทั้งข้างหันหน้าทักทายผู้มาเยือน ส่วนด้านข้างนั้น ได้สลักเป็นนายทวารยืนกุมกระบองทั้งสองเสาที่สำคัญคือ เป็นนางอัปสราที่หลงเหลืออยู่แห่งเดียวในประเทศไทยเช่นเดียวกันนอกจากลวดลายสลักเสลาของทับหลังและเสาที่สวยงามแล้ว เครื่องประดับจำพวกกลีบขนุนก็สวยงามไม่แพ้กัน และสิ่งหนึ่งที่อยากให้ท่านสังเกตถึงลักษณะการก่อปราสาทที่เอกสารระบุไว้ว่าก่อด้วยอิฐขัดมัน อิฐแต่ละก้อนนั้นนอกจากมีขนาดไม่เท่ากันยังประสานกันเป็นเนื้อเดียวอีกด้วย นี่คือความอัจฉริยะของช่างสมัยโบราณโดยแท้ปราสาทศีขรภูมิถือเป็นสัญลักษณ์ของอำเภอศีขรภูมิและจังหวัดสุรินทร์ โดยตราประจำจังหวัดสุรินทร์นั้นจะเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างอยู่ด้านหน้าปราสาทศีขรภูมิ ในอดีตเมื่อ ๔๐ กว่าปีนั้น อำเภอศีขรภูมิเคยจัดงานฉลองปราสาทอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร ว่ากันว่ายิ่งใหญ่กว่างานช้างเสียอีก ในแต่ละปีที่จัดนั้น สามล้อทุกคันจะมารวมตัวกันที่สถานีรถไฟอำเภอศีขรภูมิเพื่อรับส่งผู้โดยสาร




ลักษณะทางสถาปัตยกรรม

ปราสาทศีขรภูมิ มีลักษณะเป็นปรางค์หมู่ 5 องค์ เป็นปราสาทก่ออิฐไม่สอปูน ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน โดยตัวฐานก่อด้วยศอลาแลงกว้าง 25 เมตร ยาว 26 เมตร สูง 1.5 เมตร โดยมีคูน้ำกว้าง 125 เมตร ล้อมรอบสามด้าน โดยเว้นด้านตะวันออกอันเป็นทางเข้าไว้ปรางค์ประธานสูงประมาณ 32 เมตร ทับหลังเป็นภาพพระศิวนาฏราชสิบกร ทรงฟ้อนรำอยู่เหนือเกียรติมุข ภายใต้วงโค้งลายท่อนมาลัย ซึ่งสลักเป็นภาพพระคเณศ พระพรหม พระวิษณุ และพระอุมาโดยทับหลังชิ้นนับเป็นทับหลังที่มีความสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดชิ้นหนึ่งของเมืองไทย บริเวณเสากรอบประตูสลักเป็นรูปนางอัปสรถือดอกบัว และทวารบาลยืนกุมกระบอง ซึ่งนางอัปสราที่ปราสาทศีขรภูมินี้มีลักษณะคล้ายกับนางอัปสราที่ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา ซึ่งไม่พบที่ปราสาทศิลปะเขมรโบราณแห่งใดอีกเลยในประเทศไทย พบที่ปราสาทศีขรภูมิเพียงแห่งเดียวเท่านั้น



ปรางค์บริวาร

ปรางค์บริวาร แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้ยี่สิบ องค์ปรางค์ไม่มีมุข มีประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก เช่นเดียวกับปรางค์ประธาน มีทับหลัง ๒ ชิ้น ชิ้นที่หนึ่งเป็นภาพพระกฤษณฆ่าช้างและคชสีห์ (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมาย) ที่ปรางค์บริวารองค์ทิศตะวันตก พบจารึกหินทรายที่ผนังกรอบประตูเป็นจารึกอักษรธรรมอีสานภาษาไทย-บาลีเรื่องราวที่จารึกกล่าวถึงกลุ่มพระเถระผู้ใหญ่และท้าวพระยาร่วมกันบูรณะโบราณสถานแห่งนี้



สระน้ำ

สระน้ำ มีจำนวน ๓ สระ สระที่หนึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือ มีความยาวล้อมอ้อมไปถึงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนอีก ๒ สระ ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้




หลักฐานที่พบ

ปรางค์ก่ออิฐ ๕ องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบด้วยปรางค์ประธาน ปรางค์บริวาร และสระน้ำ ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๘ ตอนที่ ๑๐๔ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๔ และประกาศกำหนดขอบเขตโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๘ ตอนที่ ๑๐๔ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๔ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๒ งาน ๒๗ ตารางวา


อ้างอิง http://www.touronthai.com/article/3009


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปราสาทศีขรภูมิ